วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลอดเรืองแสง

ที่มาของหลอดเรืองแสง
หลอดเรืองแสง
                ถ้าย้อนหลังกลับไปจนถึงปี พ.ศ. 2439  เมื่อโทมัส อัลวาเอดิสันได้คิดประดิษฐ์หลอดเรืองแสงรุ่นแรกทีสามารถทำงานได้นั้นหลอดไฟฟ้าชนิดนี้ก็ยังมิได้มีการผลิตออกมาในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง จนกระทั่งได้มีการค้นคิดดัดแปลงให้มีลักษณะสมบูรณ์ทันสมัยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2481  ราวช่วงต้นของสองทศวรรษที่ผ่านมามีการใช้หลอดเรืองแสงเพื่อให้แสงสว่างเป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในการให้แสงสว่างทั้งหมดที่มีใช้อยู่ในสหรัฐอเมริกาเองได้มีการผลิตหลอดเรืองแสงเป็นจำนวนสูงถึงกว่า 300 ล้านหลอด
                การที่หลอดเรืองแสงได้รับความนิยมใช้สูง เพราะสาเหตุหลักในแง่ของความประหยัด ทั้งนี้เพราะหลอดไฟฟ้าชนิดนี้ สามารถให้ความสว่างได้มากกว่าหลอดไฟฟ้าชนิดจุดไส้หลอด     ธรรมดาถึง 5 เท่าตัว  ในปริมาณการกินกำลังวัตต์ไฟฟ้าที่เท่ากัน  และถึงแม้ว่าราคาจะสูงกว่าแต่อายุการใช้งานก็ยาวนานกว่ามาก ดังนั้น เมื่อเทียบกันแล้วยังเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ต่ำและคุ้มค่ากว่า นอกจากนั้นแล้ว ในปัจจุบันนี้ ได้มีการพัฒนาหลอดเรืองแสงให้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมมาก สามารถใช้งานได้กว้างขวางขึ้นและยังเพิ่มความสวยงามของแสงสีให้น่าดูขึ้นอีกด้วย โดยแต่เดิม แสงจากหลอดเรืองแสงซึ่งมีเพียงสีขาวออกน้ำเงินจางๆ นั้น ปัจจุบันสามารถทำให้มีแสงสีได้เกือบจะทุกสีตามต้องการได้ ส่วนรูปร่างลักษณะของหลอดที่เคยเป็นเพียงหลอดตรงยาวธรรมดาก็จะมีทั้งชนิดวงกลมหรือแม้แต่เป็นหลอดรูปตัวยู (U) นอกจากนี้ยังมีหลอดเรืองแสงชนิดพิเศษสำหรับใช้ในงานเกษตรกรรมและสำหรับฆ่าเชื้อโรคด้วย

                                                  
ส่วนประกอบและหลักการทำงาน
หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์(Fluorescent Lamp)
หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ทำด้วยหลอดแก้วที่สูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทไว้เล็กน้อย มีไส้ที่ปลายหลอดทั้งสองข้าง หลอดเรืองแสงอาจทำเป็นหลอดตรง หรือครึ่งวงกลมก็ได้  ส่วนประกอบและการทำงานของหลอดเรืองแสง มีดังนี้
            1.
ตัวหลอด  ภายในสูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทและก๊าซอาร์กอน เล็กน้อย  ผิวด้านในของหลอดเรืองแสงฉาบด้วยสารเรืองแสงชนิดต่างๆ แล้วแต่ความต้องการให้เรืองแสงเป็นสีใด เช่น ถ้าต้องการให้เรืองแสงสีเขียว ต้องฉาบด้วยสารซิงค์ซิลิเคต แสงสีขาวแกมฟ้าฉาบด้วยมักเนเซียมทังสเตน แสงสีชมพูฉาบด้วยแคดเนียมบอเรต เป็นต้น
           2.
ไส้หลอด ทำด้วยทังสเตนหรือวุลแฟรมอยู่ที่ปลายทั้งสองข้าง เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านไส้หลอดจะทำให้ไส้หลอดร้อนขึ้น ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้ไอปรอทที่บรรจุไว้ในหลอดกลายเป็นไอมากขึ้น แต่ขณะนั้นกระแสไฟฟ้ายังผ่านไอปรอทไม่สะดวก เพราะปรอทยังเป็นไอน้อยทำให้ความต้านทานของหลอดสูง
          3. 
สตาร์ตเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ไฟฟ้าอัตโนมัติของวงจรโดยต่อขนานกับหลอด ทำด้วยหลอดแก้วภายในบรรจุก๊าซนีออนและแผ่นโลหะคู่ที่งอตัวได้ เมื่อได้รับความร้อน  เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านก๊าซนีออน ก๊าซนีออนจะติดไฟเกิดความร้อนขึ้น ทำให้แผ่นโลหะคู่งอจนแตะติดกันทำให้กลายเป็นวงจรปิดทำให้กระแสไฟฟ้าผ่านแผ่นโลหะได้ครบวงจร   ก๊าซนีออนที่ติดไฟอยู่จะดับและเย็นลง แผ่นโลหะคู่จะแยกออกจากกันทำให้เกิดความต้านทานสูงขึ้นอย่างทันทีซึ่งขณะเดียวกันกระแสไฟฟ้าจะผ่านไส้หลอดได้มากขึ้นทำให้ไส้หลอดร้อนขึ้นมาก  ปรอทก็จะเป็นไอมากขึ้นจนพอที่นำกระแสไฟฟ้าได้
         4.
แบลลัสต์  เป็นขดลวดที่พันอยู่บนแกนเหล็ก  ขณะกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะเกิดการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้น เมื่อแผ่นโลหะคู่ในสตาร์ตเตอร์แยกตัวออกจากกันนั้นจะเกิดวงจรเปิดชั่วขณะ    แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดขึ้นในแบลลัสต์จึงทำให้เกิดความต่างศักย์ระหว่างไส้หลอดทั้งสองข้างสูงขึ้นเพียงพอที่จะทำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไอปรอทจากไส้หลอดข้างหนึ่งไปยังไส้หลอดอีกข้างหนึ่งได้   แรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนำที่เกิดจากแบลลัสต์นั้นจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำไหลสวนทางกับกระแสไฟฟ้าจากวงจรไฟฟ้าในบ้าน ทำให้กระแส ไฟฟ้าที่จะเข้าสู่วงจรของหลอดเรืองแสงลดลง
                       


หลักการทำงานของหลอดเรืองแสง
           เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านไอปรอทจะคายพลังงานไฟฟ้าให้อะตอมไอปรอท ทำให้อะตอมของไอปรอทอยู่ในสภาวะถูกกระตุ้น (excited state) และอะตอมของปรอทจะคายพลังงานออกมาเพื่อลดระดับพลังงาน  ในรูปของรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งอยู่ในช่วงของแสงที่มองไม่เห็น เมื่อรังสีนี้กระทบสารเรืองแสงที่ฉาบไว้ที่ผิวหลอด สารเรืองแสงจะเปล่งแสงสีต่างๆตามชนิดของสารเรืองแสงที่ฉาบไว้ในหลอดนั้น


                    


รูปส่วนประกอบและหลอดเรืองแสง

 
                        



                  

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มาติดตามเส้นทางชำระแค้นของเครโทสกันต่อค่ะ บทความนี้จะสปอยเนื้อเรื่อง God of War ภาค 3 ตั้งแต่ต้นจนจบ อาจทำให้คนที่กำลังเล่นเกมนี้เสียอรรถรสในการเล่นได้ค่ะ

ณ เมืองโอลิมเปียกำลังเกิดสงครามกันอยู่ เฮเลียสบนรถม้าศึกแห่งดวงอาทิตย์ควบผ่านหน้าเครโทสไป เขาพบไกอาที่กำลังอิดโรยเกาะอยู่ตรงเทือกเขา ไกอาแปลกใจระคนดีใจที่พบเครโทสยังมีชีวิตอยู่สมเป็นสายเลือดของโครนอส และขอให้เครโทสช่วยเธอด้วย แต่เครโทสถากถางว่าให้ช่วยเธอเหรอ แล้วก็ตรงเข้าทำร้ายมือของไกอา จนเธอร้องว่าเธอไม่มีความหมายอะไรต่อเขาเลยเหรอ เธอต้องไปต่อสู้กับซุส ไททันจะต้องครองโอลิมปัส แต่เครโทสตอบว่าสำหรับไกอามันจบแล้ว นี่คือสงครามของเขา ไม่ใช่ของเธอ แล้วก็ใช้ Blade of Olympus ตัดมือของไกอาจนเธอร่วงหล่นลงไป


เมื่อไปต่อ เครโทสก็พบว่า เฮเลียสกำลังโจมตีไททันอย่างหนัก เครโทสเลยใช้เครื่องยิงสอยรถม้าศึกแห่งดวงอาทิตย์จนเสียหลัก ไททันแล้วคว้า เฮเลียสและรถม้าศึกบี้จนระเบิด แล้วเขวี้ยงเข้าใส่เทือกเขาโอลิมปัส เครโทสตามไปจนพบกับเฮเลียสที่บาดเจ็บปางตาย เขาขอให้เครโทสช่วยเขาอีกครั้งเหมือนที่เคยช่วยจากแอตลาส แล้วเขาจะไม่ลืมหนี้บุญคุณ เครโทสบอกว่าถ้าอยากจะแทนคุณนักให้บอกมาว่าเขาจะหา Flame of Olympus ได้ที่ไหน พอได้ยินแบบนี้เฮเลียสก็หัวเราะแล้วบอกว่าเครโทสจะไม่มีวันโค่นซุสได้และจะตายเสียมากกว่า จากนั้นช้พลังแสงอาทิตย์ส่องสว่างเจิดจ้าจนเครโทสต้องยกมือบังแสง แล้วค่อย ๆ ก้าวไปใกล้จนกระทืบเฮเลียสได้


เฮเลียสเลยร้องบอกว่าเขาจะบอกเรื่อง Flame of Olympus ให้ว่าหากจะโค่นล้มซุส เครโทสจะต้องเข้าไปอาบในเพลิงนั่นเพื่อจะชิงพลังมา แต่เครโทสบอกว่าอย่ามาลวงเขา เพราะเฮฟเฟสตุสบอกเขาแล้วว่าเปลวไฟนั่นจะสังหารทุกสิ่งที่สัมผัสมัน เฮเลียสแย้งว่าเครโทสเชื่อเฮฟเฟสตุสได้ยังไง เพราะเฮฟเฟสตุสเป็นเหมือนคนบ้าที่ไร้เกียรติแห่งโอลิมปัส แต่เครโทสบอกว่าเพราะเหตุนั้นล่ะที่ทำให้เขาเชื่อเฮฟเฟสตุสและตรงเข้าเด็ดศีรษะของเฮเลียส

เมื่อสิ้นเทพแห่งอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็ดับมืด มีเมฆหมอกพายุมาบดบังและฝนก็เริ่มตก เครโทสใช้ศีรษะของเฮเลียสส่องหาประตูและเปิดทางไปต่อจนถึง The Path of Eos ระหว่างทางเครโทสพบวิญญาณเด็กสาวอีกครั้ง เขาบอกเธอว่าเขาไม่สามารถช่วยเธอได้ แต่เธอก็ยังยืนยันและเชื่อว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ช่วยเธอได้


เครโทสเดินทางต่อไปจนถึง The Chain of Balance และใช้ปีกแห่งอิคารัสบินตามโซ่ขึ้นไปด้านบนจนสุดทางก็พบกับไททันที่เอื้อมมือจะมาทำร้าย เครโทสเลยใช้ Blade of Olympus บินพุ่งเข้าแทงตาของไททัน จนไททันเสียหลักตกลงไป


สุดท้ายเครโทสบินพุ่งขึ้นไปโผล่ที่ The Caverns ที่ซึ่งมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์แขวนด้วยโซ่ลอยเต็มไปหมด เมื่อเปิดกลไก กล่องต่าง ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวเข้าหากัน แล้วเครโทสก็พบกับเฮอร์มีส ซึ่งกล่าวเยาะเย้ยเครโทสต่าง ๆ นานา และบอกว่าเครโทสไม่มีวันจับตัวเขาได้ ก่อนจะวิ่งหายไป


เครโทสกระโดดไปเกาะที่โซ่แล้วก็ปีนขึ้นไปจนถึงห้องที่มี The Flame of Olympus อยู่กลางห้อง และ Gear of Burden ที่เป็นที่บังคับก็ไม่สามารถขยับได้ เมื่อเครโทสเดินเข้าไปสำรวจก็พบกับกล่องของแพนโดร่าอยู่ท่ามกลางเปลวไฟซึ่งครั้งหนึ่งเครโทสเองเคยเปิดกล่องดังกล่าว เขาเอื้อมมือไปแต่อธีน่าคว้าแขนเขาไว้ เธอบอกเขาว่านี่คือกล่องที่เครโทสเคยเปิดเมื่อครั้งหนึ่ง และภายในกล่องก็มีพลังที่สามารถสังหารเทพเจ้าได้ เครโทสกล่าวว่าเขาปลดปล่อยพลังที่ว่าไปแล้วเมื่อตอนเขาสังหารเอรีส อธีน่าแย้งว่าภายในกล่องยังมีพลังอันแข็งแกร่งกว่าที่ได้สูญหายจากโลกไปแล้ว


แล้วอธีน่าก็เล่าว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อซุสเอาชนะเหล่าไททันในสงครามครั้งก่อน และได้ตระหนักถึงพลังชั่วร้าย ซึ่งถ้าปล่อยเอาไว้ พลังนั้นก็อาจทำลายโลกของมนุษยชาติและเทพเจ้าได้ เขาจึงสั่งให้เฮฟเฟสตุสประดิษฐ์สิ่งที่แข็งแรงพอที่จะเก็บกักสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นไว้ มันคือความกลัว (Fear)  ความโลภ (Greed) และความเกลียดชัง (Hate) เขาขังสิ่งเหล่านี้ไว้ในกล่องโดยหวังว่ามันจะไม่มารบกวนการปกครองของเขาอีก จนกระทั่งเมื่อเครโทสเปิดกล่องเพื่อสังหารเอรีส เครโทสเป็นคนดึงพลังต้องห้ามเหล่านั้นมาใช้ หลังจากเฝ้ามองชัยชนะของเครโทส ซุสก็ถูกครอบงำด้วยความกลัว

เครโทสถามว่าเปลวไฟนั้นสังหารเขาได้ แล้วเขาจะเข้าไปที่กล่องได้ยังไง อธีน่าตอบว่าด้วยชื่อของกล่องนั้น เครโทสจึงตระหนักได้ว่าเขาต้องไปหาแพนโดร่า อธีน่าย้ำว่าแพนโดร่าคือกุญแจในทำลายเปลวไฟและกุญแจสำหรับการแก้แค้นของพวกเขา

รอบ ๆ ห้องโถงจะมีตำนานและรูปวาดฝาหนังหกภาพ*


- The Flame of Olympus ความตายจะมาเยือนผู้ที่สัมผัสเปลวไฟไม่ว่าเทพเจ้าหรือมนุษย์ก็ตาม แต่กระนั้นแล้วพลังดังกล่าวจะไร้ผลต่อสิ่งที่มันปกป้องอยู่ ณ ใจกลางเปลวเพลิง ซึ่งก็คือกล่องแพนโดร่านั่นเอง

- รูปภาพกล่องสี่เหลี่ยมที่ถูกแขวนด้วยโซ่จะกล่าวถึง Balance of Power จิตวิญญาณเมื่อยามมีชีวิตจะถูกนำทางโดย The Muses และในยามสิ้นชีพและถูกนำทางโดยผู้พิพากษาสามองค์ ซึ่งดินแดนระหว่างพวกเขาก็คือกุญแจไขปริศนาของเปลวเพลิง

- Judges of Hades กล่าวถึงรูปปั้นของผู้พิพากษาสามองค์ที่มือจับโซ่เส้นใหญ่เอาไว้ พวกเขาคือผู้ควบคุม The Great Chain และเป็นผู้ตัดสินว่าจะปล่อยโซ่หรือไม่


- The Muses คือรูปปั้นเทพสตรีที่ขับขานบทเพลง ในเสียงดนตรีจะบ่งบอกถึงความจริงที่ไม่เคยถูกกล่าวไปยังผู้ซึ่งปรารถนาจะรับฟัง โดยการขับขานบทเพลงร่วมกับ The Muses เพื่อจะยก Olympus' Burden

- Gear of Burden คือคันโยกที่รับน้ำหนักของโอลิมปัสทั้งหมด และไม่อาจขยับได้อย่างง่ายดาย มันต้องใช้ความเสียสละอย่างใหญ่หลวงที่จะปลดปล่อย The Heart of the Labyrinth


- Heart of the Labyrinth การเอาชนะปริศนาแห่ง Labyrinth มันคือความลุ่มหลงอันยิ่งใหญ่ที่เพียงพอที่จะดับ Flame of Olympus และเปิดทางไปยังพลังที่อยู่ภายใน

เฮอรมีสที่เฝ้ามองอยู่เยาะเย้ยเครโทสอีกว่าเขาไม่มีวันทำสำเร็จ แล้วก็วิ่งหายไปที่ระเบียง โลกมนุษย์กำลังปั่นป่วนวุ่นวายจากการตายของโพไซดอน เฮดีสและเฮเลียส


เครโทสไล่ล่าเฮอร์มีสจนถึงป้อมปราการโอลิมเปียน เมื่อเฮอร์มีสวิ่งไต่เชือกไปเกาะที่รูปปั้นบรอนซ์อีกฝั่งหนึ่ง เครโทสจึงใช้เครื่องยิงหินปล่อยหินพุ่งไปที่รูปปั้น แล้วก็กระโดดเกาะหินลอยไปยังรูปปั้นที่ถูกกระแทกจนเสียหายพินาศ เฮอร์มีสที่อยู่ตรงนั้นก็เสียหลัก ตกไปกับรูปปั้นด้วยเช่นกัน เครโทสเดินตามรอยเลือดไปเจอกับเฮอร์มีสที่บาดเจ็บอยู่ เครโทสตรงเข้าโจมตีเฮอร์มีสที่วิ่งหนีไปรอบ ๆ เมื่อคว้าขาได้ก็เหวี่ยงเฮอร์มีสกระเด็น จนหมดแรงวิ่งหนีไม่ไหวอีก เขาจึงใช้คำพูดหลอกล่อเครโทสถึงเกียรติของนักรบสปาร์ตัน ว่าเครโทสพยายามสังหารเขาขณะที่เขาปราศจากอาวุธป้องกันตัวใด ๆ ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย ระหว่างที่เฮอร์มีสพล่าม เครโทสก็มองไปยังรองเท้าของเฮอร์มีส พอเฮอร์มีสหยุดพูดเพราะคิดว่าเครโทสจะปล่อยเขาแล้ว เครโทสก็ตรงเข้าตัดขาของเฮอร์มีสอย่างเลือดเย็น

เมื่อเสียเลือดจากการตัดขาทั้งสองข้าง เฮอร์มีสจึงสิ้นใจ ร่างของเขาสลายกลายเป็นหมู่แมลงวันเชื้อโรค บินหายไปในอากาศ แล้วเครโทสก็ได้ครอบครอง Boots of Hermes ซึ่งทำให้เครโทสสามารถวิ่งไต่กำแพงตั้งฉากได้และไม่ขึ้นกับแรงโน้มถ่วงอีก ต่อไป ระหว่างทางไปต่อ เครโทสพบชาวเมืองโอลิมเปียนถูกแมลงวันบินตอมและดูเหมือนจะเริ่มเจ็บป่วย


เครโทสกลับเข้าไปยังห้องโถงที่มี The Flame of Olympus อีกครั้ง เขาขึ้นไปยังห้องด้านบน เพื่อแก้ไขกลไกของเครื่องดนตรี แล้ว The Muses ก็บรรเลงเพลง พื้นกลางห้องก็ยก The Flame of Olympus และ Gear of Burden ขึ้นมา

เครโทสพยายามหมุน Gear of Burden ที่เชื่อมต่อกับ The Great Chain แต่เมื่อโซ่ขยับ เหล่าผู้พิพากษาทั้งสามของเฮดีสต่างดึงรั้งโซ่เอาไว้แน่นจนขยับไม่ได้อีก

เครโทสเดินทางออกไปยังลานประลองและพบกับเฮร่า ราชินีของซุสที่กำลังดื่มเหล้าเมามาย เธอกล่าวว่าเครโทสยังจะต้องการสังหารสวามีของเธออยู่ใช่ไหม เครโทสยืนยันว่าเขาต้องการแก้แค้น เฮร่าตอบว่าเธอก็คงไม่โทษเขา เพราะตั้งแต่ที่เขาสังหารเอรีส บุตรชายของเธอ ซุสก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวในตัวเครโทส เขาก็เลยตอบเธอว่าเมื่อซุสตายแล้ว ความกลัวก็ไม่มีผลอะไรอีก และตอนนี้ เขากำลังตามหาเด็กสาวแพนโดร่าอยู่ เฮร่าเลยย้อนว่าแพนโดร่า เด็กสาวที่เฮฟเฟสตุสบุตรชายไม่ได้เรื่องของเธอสร้างขึ้นน่ะเหรอ เธอคงยอมให้เครโทสไปพบแพนโดร่าไม่ได้ และสั่งให้เฮอร์คิวลิสสังหารเครโทสเสีย


เมื่อเครโทสพบกับเฮอร์คิวลิส เขาก็บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องระหว่างเรา แต่เฮอร์คิวลิสบอกว่าเกี่ยว เพราะเครโทสคือคนโปรดของซุส แต่เครโทสปฏิเสธ บอกว่าบรรยากาศของโอลิมปัสทำให้เฮอร์คิวลิสคิดไปเองเพราะซุสไม่เคยโปรดปรานใครทั้งนั้น เฮอร์คิวลิสเลยยกเรื่องภารกิจของเขาขึ้นมาเปรียบกับของเครโทส เขาต้องไปล้างคอกม้าของพวกออเกียน ขณะที่ซุสเลือกเครโทสไปสังหารเอรีส เครโทสยืนมองเฮอร์คิวลิสด้วยท่าทีเฉยเมยเช่นเดิม เฮอร์คิวลิสเลยยกตัวอย่างอื่นมาอีก ว่าขณะที่เครโทสได้ขึ้นเป็น God of War ตัวเขากลับถูกส่งไปขโมยแอปเปิ้ล และเรียกขานภารกิจต่าง ๆ นั้นว่า The Labours** ถึงแม้ว่าซุสจะให้เฮอร์คิวลิสไปสังหารราชสีห์ นีเมียน แต่ซุสก็ยังสดุดีเครโทสว่าเป็นนักรบผู้ห้าวหาญ มนุษย์ที่เป็นดังเทพเจ้า และในตอนนี้เขาจะสังหารเครโทส จะเรียกว่านี่คือภารกิจที่สิบสามของเขาก็ได้ และเขาก็จะขึ้นเป็น God of War คนใหม่แทนเครโทส


แล้วเฮอร์คิวลิสก็สั่งให้ลูกสมุนมาอุ่นเครื่องกับเครโทสก่อนที่เรียกลูกน้องให้เอา Nemean Cestus มาใส่กับมือของตน ก่อนจะลงสนามรบพร้อมกับลูกน้องมารุมเครโทส โดยมีเฮร่าดื่มเหล้านั่งเชียร์การต่อสู้บนอัฒจันทร์ เครโทสประลองกำลังกับเฮอร์คิวลิส และผลักอีกฝ่ายไปยังหนามแหลมรอบลานประลองแล้วก็ทำลายเกราะของเฮอร์คิวลิสทีละชิ้นจนหมด เฮอร์คิวลิสจึงประกาศว่าเกราะมันเกะกะ แล้วก็ไล่ลูกน้องออกไป จากนั้นก็ตรงเข้าสู้กับเครโทสต่อ เฮอร์คิวลิสจะสี Nemean Cestus จนเกิดแสงประกายเจิดจ้าจนเครโทสต้องหลบตาเพื่อบังแสง พอมองเห็นได้อีกครั้ง เฮอร์คิวลิสกำลังได้ใจ หันไปคุยโวกับเฮร่าบนอัฒจันทร์ บอกว่าตำแหน่ง God of War จะต้องเป็นของเขา เขาจะมีชัย ซึ่งเปิดโอกาสให้เครโทสพุ่งเข้าโจมตีอย่างง่ายดาย และแย่งชิง Nemean Cestus มาใช้


แต่เฮอร์คิวลิสผู้มีพละกำลังใช้ผลักเครโทสจนกระเด็นไปสุดขอบลานประลองและทำลายพื้น ยกขึ้นเทจนเครโทสกระเด็นตกไปเกาะที่ขอบลาน เครโทสปีนขึ้นมาได้อย่างทุลักทุเล กระโดดขึ้นมายืนเหนือเฮอร์คิวลิสที่ยังยกพื้นอยู่ แล้วก็โจมตีใส่เฮอร์คิวลิสจนพื้นที่เขายกอยู่หล่นทับร่างตัวเอง เครโทสกระโดดขึ้นยืนเหนือร่างของเฮอร์คิวลิสระดมหมัดที่สวมด้วย Nemean Cestus ใส่ใบหน้าของเฮอร์คิวลิสหลายต่อครั้ง จนเฮอร์คิวลิสสิ้นใจ พื้นด้านล่างถล่ม ร่างของทั้งสองร่วงลงไปยังความมืดด้านล่าง

เครโทสผลักร่างไร้วิญญาณของเฮอร์คิวลิสออกไป เขาอยู่ในทางน้ำใต้ดิน เมื่อเปิดกลไก ทางน้ำก็เปิดออก เครโทสว่ายตามทางน้ำจนไปโผล่ที่ห้องของโพไซดอน แต่ทางออกได้ถูกประตูลูกกรงปิดขวาง ซึ่งเมื่อหมุนกลไกแล้วก็ยังวิ่งไปไม่ทันนอกจากจะหาอะไรมายันเอาไว้


แล้วเครโทสก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสาว พอเข้าไปใกล้ เขาก็พบกับองค์หญิงของโพไซดอนที่ถูกขังอยู่ พอเธอเห็นว่าเป็นเครโทสก็หวาดกลัวอย่างที่สุดและบอกว่าเธอไม่ต้องการให้เขาช่วย

เครโทสแก้ไขกลไกเพื่อเข้าไปในห้องขังของเธอ โดยการเตะหมาปีศาจเข้าไปที่ลิฟต์เพื่อทำให้ลิฟต์มีน้ำหนักมากพอจนลิฟต์เลื่อนลงมายังทางเข้าห้องขัง พอเข้าไปที่ห้องได้ องค์หญิงก็ยิ่งหวาดผวา แต่เครโทสดุว่าให้เงียบซะ ก่อนจะดึงโซ่ตรงพื้นที่ล่ามเธอออก แล้วก็ผลักเธอออกไปที่ลิฟต์ ไม่นานนักเครโทสก็ได้ยินเสียงเธอร้องขอความช่วยเหลืออีก เพราะหมาปีศาจทั้งหลายยังป้วนเปี้ยนอยู่ที่ลิฟต์ เครโทสเดินออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย ก่อนจะจัดการเหล่าหมาปีศาจ แล้วก็ผลักเธอให้ออกไปตามทางจนมายังจุดที่กลไก

เครโทสหมุนกลไกจนประตูลูกกรงเปิดออก แล้วก็ดึงโซ่ที่มือเธอมายันกลไกเอาไว้ ก่อนเครโทสจะเดินออกไปอย่างไม่ไยดี ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง พอกลับมาดู ก็พบว่าเธอทานน้ำหนักกลไกไม่ไหว และถูกกลไกบี้จนแหลกเสียชีวิตไปแล้ว และร่างของเธอก็จมอยู่ใต้กลไกดันมันเอาไว้จนประตูลูกกรงปิดไม่ได้อีก


พอผ่านประตูลูกกรงไป เครโทสก็พบกับรูปปั้นบรอนซ์ เขาจึงเรียกหาแพนโดร่า วิญญาณเด็กสาวก็ปรากฏขึ้นและบอกว่าเธอรู้ว่าเครโทสจะกลับมาหาเธอ เครโทสถามอย่างร้อนรนว่าเธออยู่ที่ไหน แต่แพนโดร่ากลับตื่นตระหนกบอกว่าเธอสัมผัสได้ว่ามีใครกำลังจะมา เครโทสถามอีกครั้งว่าเธออยู่ที่ไหน แพนโดร่าตอบว่าที่ Labyrinth ให้เครโทสมาหาเธอที่นั่น ก่อนจะวิญญาณเธอจะถูกดึงกลับไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ทิ้งให้เครโทสตาโตด้วยความร้อนรน เขาจับรูปปั้นบรอนซ์และตะโกนก้องร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นและเธออยู่ที่ไหน เสียงที่ตอบมาไม่ใช่แพนโดร่า แต่เป็นเสียงของซุส ที่กล่าวเตือนว่าเครโทสกำลังข้องแวะกับสิ่งที่เครโทสเองไม่เข้าใจ และขอให้เขาอยู่ห่าง ๆ สิ่งนั้นเอาไว้ เครโทสโกรธมาก


แล้วเครโทสก็ออกมายัง Upper Gardens ฝนยังคงตกอย่างหนัก และที่แย่กว่านั้นมันเหมือนว่าข้ารับใช้แห่งโอลิมปัสได้ล้มตายด้วยอาการที่ เหมือนจะเป็นโรคระบาด เครโทสหมุนกลไกที่เหมือนทำงานด้วยสายฟ้าเพื่อเชื่อมต่อสะพานทางเดิน แต่กลไกอันสุดท้ายเหมือนจะเสียหาย เขาจึงต้องหมุนกลไกกลับไปยังระเบียงหนึ่งในวังแทน

ด้านในนั้นคือห้องของอฟอร์ไดที เธอกำลังให้นางกำนัลสองคนปรนนิบัติอยู่บนเตียง พอเธอเห็นเครโทสเดินเข้ามาหา ก็ไล่นางกำนัลออกไป แล้วก็คลานอย่างยั่วยวนมาเครโทสที่ยืนตรงปลายเตียง เธอกล่าวว่านี่มันก็นานแล้วที่ไม่พบเจอกัน ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้เป็น God of War แล้วก็ตาม เขาก็ยังสามารถร่วมเตียงกับเธอได้ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบไล้เขา เครโทสตอบว่าเขาไม่ว่างมาเล่นเกมกับเธอพร้อมกับปัดมือเธอออกไปอย่างนุ่มนวล เธอหันมาออดอ้อนว่าเขารู้หรือไม่ว่านานเพียงใดแล้วที่ไม่มีชายใดเข้ามายังห้องนอนของเธอ สะพานด้านนอกก็ใกล้จะพังแล้ว แถมซุสก็ยังไม่ยอมให้มนุษย์:-)แดดาลัสมาซ่อมให้ เพราะแดดาลัสต้องรับผิดชอบสร้าง Labyrinth


เครโทสมองอฟอร์ไดทีด้วยท่าทีเรียบเฉย เธอเลยกล่าวว่าเธอเข้าใจแล้ว เครโทสคงพยายามหาทางเปิดสะพานทางเดินนั่น เธอกล่าวว่าตอนนี้คนที่จะซ่อมสะพานนั่นได้คือสวามีของเธอเฮฟเฟสตุส แต่เธอก็รู้ว่าเฮฟเฟสตุสนั้นไม่ได้ความ สุดท้ายเธอก็ถามเครโทสอีกครั้งว่าเขาจะยอมอยู่ค้างกับเธอไหม

สุดท้ายแล้ว เมื่อเครโทสจะไป เธอก็บ่น ๆ ว่าผู้ชายมัวจะหมกมุ่นกับการแก้แค้น แล้วก็เปิด Hyperion Gate หลังม่านในห้องนอนของเธอให้

พอเครโทสเดินเข้าไป เขาก็มายังที่ห้องตีเหล็ก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เฮฟเฟสตุสที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ก็คิดว่าเป็นอฟอร์ไดทีกลับมาหาเขา แต่พอเห็นเป็นเครโทส เขาก็มองอย่างเหยียด ๆ และกล่าวเสียดสีว่าอฟอร์ไดทีคงมีชัยเหนือ God of War ได้อีกคนแล้วสิ แต่เครโทสตอบอย่างเฉยเมยว่าคำถามนั่นเขาควรเก็บไว้ถามภรรยาตัวเองแทน แต่ตอนนี้เขาต้องการค้นหา Labyrinth


ทีแรกเฮฟเฟสตุสก็แปลกใจ เพราะเขาคิดว่าเครโทสกำลังตามหาเปลวเพลิงอยู่ ก่อนจะนึกได้แล้วก็ตกใจ ร้องบอกเครโทสว่าให้อยู่ห่าง ๆ แพนโดร่า เครโทสเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้แพนโดร่าถูกขังใน Labyrinth และตัวเขาติดอยู่ในใต้พิภพ เครโทสปฏิเสธบอกว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เฮฟเฟสตุสบอกว่าก็เพราะเขาเปิดกล่องนั่นล่ะ เครโทสกอดอก ตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่าเขาทำในสิ่งที่เขาต้องทำ เฮฟเฟสตุสกล่าวว่าเครโทสยังไม่เข้าใจ ก่อนจะอธิบายให้ฟังว่าความชั่วร้ายจากสงครามครั้งก่อนนั้นเก็บกักบรรจุเอาไว้ไม่ได้ง่าย ๆ เขาประดิษฐ์กล่องนั้นด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งปวงอีกด้วย The Flame of Olympus

ขณะที่เหล็กกล้ากำลังเข้าที่ เขาก็ตระหนักได้ว่าเปลวเพลิงคือที่ ๆ ปลอดภัยที่สุดที่จะปกป้องมัน เมื่อสร้างล็อคเสร็จแล้ว สิ่งที่ต้องการคือกุญแจ หนทางที่จะไปยังกล่อง มันถูกสร้างขึ้นจากใจกลางเปลวเพลิง กุญแจเริ่มมีตัวตนเป็นรูปร่างขอตนเอง กลายเป็นแพนโดร่า เด็กสาวที่ไม่ใช่ทั้งมีชีวิตหรือไร้ชีวิต แล้วเฮฟเฟสตุสก็เริ่มรักและเอ็นดูแพนโดร่า เธอเองก็รักและมองเขาเป็นดั่งพ่อ


เมื่อกล่องเสร็จสมบูรณ์ ซุสก็นำกล่องไป แต่เฮฟเฟสตุสกลับซ่อนแพนโดร่าเอาไว้ เขาแนะนำซุสว่าให้ซ่อนกล่องไว้บนหลังโครนอสเพราะคงไม่มีผู้ใดผ่านโครนอสที่เป็นไททันไปได้ เฮฟเฟสตุสยอมโกหกซุสเพื่อปกป้องแพนโดร่า และเขาคิดว่าเครโทสคงเข้าใจ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเครโทสเปิดกล่องได้ คำลวงของเฮฟเฟสตุสก็ปูดขึ้นมา ซุสเข้าทำร้ายและทรมานเฮฟเฟสตุสจนเขาจำต้องยอมบอกเรื่องแพนโดร่า ซุสเอาตัวแพนโดร่าไป และขังเฮฟเฟสตุสเอาไว้ เขาขอให้เครโทสเข้าใจว่าหากเขาพาแพนโดร่าไปยังเปลวเพลิง มันอะไรจะเกิดขึ้น แต่เครโทสตอบว่าเฮฟเฟสตุสก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่าไม่ว่าอะไรก็ตามก็ไม่อาจหยุดเขาไปทำลายล้างซุสได้

เฮฟเฟสตุสจึงบอกเครโทสว่า ถ้าเป็นจุดหมายคือความตายของซุส เขาก็ยินดีที่จะช่วย บางทีเขาอาจจะช่วยได้ แล้วเขาก็บอกเครโทสให้ไปเอา Omphalos Stone มาให้เพื่อที่เขาจะสร้างอาวุธให้เครโทส แต่เครโทสบอกว่าเขามีอาวุธอยู่แล้ว เฮฟเฟสตุสแย้งว่านี่ไม่เหมือนอาวุธอื่น ๆ ที่เขามี และมันจะคู่ควรกับเครโทส หินดังกล่าวอยู่ที่ The Pit of Tartarus


ณ ทาร์ทาร์รัส เหล่าวิญญาณของเฮดีสถูกปลดปล่อยและลอยเต็มใต้พิภพ เครโทสเข้าแก้ปริศนากลไกเพื่อเปิด Gates of Tisiphone และเข้าสู่ The Pit of Tartarus ที่ซึ่งเคยเป็นสมรภูมิรบในสงครามครั้งก่อนระหว่างเทพเจ้าและเหล่าไททัน หลังจากที่ไททันพ่ายแพ้ก็ถูกเนรเทศมาจองจำ ณ ที่แห่งนี้ชั่วนิรันดร์

ระหว่างทางเครโทสเดินเข้าไปสำรวจมือหินของไกอา แล้วมือก็ถูกยกขึ้นด้วยมือที่ใหญ่กว่าของโครนอสที่กล่าวว่าฆาตกรที่ฆ่าไกอาได้บุกรุกมายังถิ่นของเขาแล้ว เขารู้ดีว่าเป็นเครโทสที่ฆ่าเธอ จะมีใครอื่นอีก แล้วโครนอสก็กล่าวว่าหลังจากที่เครโทสเปิดกล่องแพนโดร่า ซุสก็ถูกครอบงำด้วยความกลัว จนเขาขับไล่โครนอสมายังที่นี่ เครโทสแย้งว่าเขาทำภารกิจโค่นล้มเอรีสตามที่เทพเจ้าสั่งให้ทำ แต่โครนอสไม่เชื่อ บอกว่าเครโทสสังหารเอรีสด้วยความแค้นส่วนตัว และท้ายที่สุดผลกรรมก็ตามสนองเขาแล้ว


แล้วโครนอสก็พยายามใช้นิ้วยักษ์บี้เครโทส ซึ่งพอเครโทสผลักนิ้วยักษ์ออกไปได้ เขาก็ใช้ศีรษะของเฮเลียสส่องแสงจ้าใส่ตาของโครนอส ระหว่างที่โครนอสยังมองไม่เห็น เครโทสกระโดดหลบไปเกาะที่แขนของโครนอส แล้วก็ทำร้ายแขนของโครนอสจนเขารู้ตัวและพยายามใช้นิ้วบี้เครโทสอีก แต่เครโทสให้อาวุธทำร้ายนิ้วและดึงจนเล็บโครนอสหลุด โครนอสเลยพยายามตบเครโทสให้ตาย แต่เครโทสก็หลบได้และปีนเกาะไปยังมืออีกข้างแทน

เมื่ออยู่ในระดับสายตา เครโทสก็ใช้แสงจากศีรษะเฮเลียสส่องเข้าตาโครนอสอีก แล้วก็กระโดดลงไปยังลำตัวของโครนอส และปีนขึ้นไปตรงเข็มขัดเหล็ก เครโทสพยายามใช้ Nemean Cestus ทำร้ายโครนอสแต่อีกฝ่ายจับเครโทสได้ทันเสียก่อน และใช้สองมือตบเครโทสหมายจะให้บี้แบนคามือ เครโทสให้กำลังยันมือที่ประกบของโครนอสออก แล้วก็ใช้ Blade of Olympus แทงจนมือของโครนอสบาดเจ็บ เครโทสปีนป่ายมือของโครนอสแล้วก็ทะยานไปยังเกราะตรงไหล่ของโครนอสแต่เขาก็รู้ตัวและจับเครโทสได้อีก ก่อนจะอ้าปากกินเครโทสเข้าไป ไม่นานโครนอสก็รู้สึกเจ็บจากข้างใน เพราะเครโทสกำลังใช้ Blade of Olympus กรีดท้องโครนอสออกจนไส้ทะลัก แล้วก็กระโดดออกมาพร้อมกับถือ Omphalos Stone ออกมาด้วย


เครโทสปีนป่ายมือของโครนอสที่กุมแผลที่ท้องอย่างเจ็บปวด เขากระโดดไปยังเข็มขัดเหล็กแล้วใช้ Nemean Cestus ทุบจนเหล็กแหลมที่ตรึงเข็มขัดหลุดออก แล้วเขาก็เหวี่ยงมันเข้าใส่โครนอสจนทะลุคาง แล้วก็ปัก Blade of Olympus ที่ศีรษะโครนอสจนเสียชีวิต

เครโทสกระโดดกลับมาหาเฮฟเฟสตุสด้วยความโกรธที่เฮฟเฟสตุสเหมือนส่งเขาไปตาย แต่เฮฟเฟสตุสปฏิเสธบอกว่าเขารู้ดีว่าเครโทสต้องผ่านความท้าทายนี้ไปได้ และเขาก็ต้องการใช้ Omphalos Stone ด้วย เครโทสส่งหินให้เฮฟเฟสตุสและรอให้อีกฝ่ายตีอาวุธให้


อาวุธใหม่คือแส้เนเมซิสที่เหมือนแส้สายฟ้า ขณะที่เครโทสที่เดินไปคว้ามันมาลองใช้ เขาหันหลังให้เฮฟเฟสตุสแต่อีกฝ่ายกลับยิงสายฟ้าใส่เครโทส แล้วก็จะใช้ทั่งยักษ์บี้เขาให้ตาย แต่เครโทสใช้อาวุธใหม่โต้กลับ แล้วก็ตรึงมือข้างหนึ่งของเฮฟเฟสตุสไว้กับแท่น แล้วก็ใช้พลังสายฟ้าของแส้กับแท่นอีกด้านหนึ่งจนเหล็กแหลมตรงกลางกระเด้งขึ้นแทงอกเฮฟเฟสตุส ก่อนจะสิ้นใจ เขาขอร้องให้เครโทสละเว้นแพนโดร่า ลูกสาวที่เขารักที่สุดด้วย
.... To be continued ....
Note :
* ทุกอย่างที่อธิบายในภาพมันเชื่อมต่อกันหมด เหมือนกับ God of War ภาคก่อน ๆ น่ะค่ะ ห้องที่มีเปลวไฟโอลิมปัสลุกท่วมกล่องแพนโดร่าจะมีกลไกคลุมเอาไว้ กลไกนี้ควบคุมด้วย Gear of Burden การจะหมุนเกียร์ก็ต้องไขปริศนาของ Muses โดยการเล่นเครื่องดนตรี พอแก้ไขได้แล้วจะลงไปหมุนเกียร์ เกียร์มันจะบังคับ The Great Chain ซึ่งโซ่ที่ว่านี้จะดึงรั้งอยู่กับกล่องทั้งหลายที่ The Cavern หรือก็คือ Labyrinth ซึ่งก็ต้องไขปริศนาก่อน แล้วโซ่มันก็ยาวไปถึงใต้พิภพที่มีผู้พิพากษาสามองค์จับโซ่เอาไว้ ซึ่งถ้าผู้พิพากษาทั้งสามไม่ปล่อยก็ขยับไม่ได้อยู่ดี ความหมายของมันทั้งหมดก็คือ The Balance of Power หรือสมดุลแห่งพลังนั่นแล~